9 วิธีลดรอยย่นใต้ตา

1.ดูแลผิวรอบดวงตา สิ่งสำคัญคือคุณควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดริ้วรอยรอบดวงตาได้ ไม่ว่าจะเป็นการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ พักผ่อนสายตาบ้างถ้าต้องนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์เป็นเวลานาน ไม่ขยี้ตาหรือถูตาแรง ๆ เช็ดเครื่องสำอางรอบดวงตาอย่างเบามือ สวมแว่นกันแดดและทาครีมกันแดดทุกครั้งเมื่ออยู่กลางแจ้ง หมั่นทาครีมบำรุงรอบดวงตาทุกวัน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ควบคุมการบริโภคอาหารรสเค็ม ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อช่วยให้ผิวกระชับเต่งตึง งดการสูบบุหรี่ หรือในกรณีที่มีโรคภูมิแพ้คุณควรรักษาโรคภูมิแพ้ก่อน เนื่องจากภูมิแพ้อาจก่อให้เกิดอาการคันและทำให้ขยี้ตาบ่อยขึ้น จนส่งผลให้มีริ้วรอยใต้ตาร่วมด้วย

การนอนเพียงพอ

2.ครีมบำรุงรอบดวงตา ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตามักมาจากการขาดความชุ่มชื้นพร้อมกับวัยที่เพิ่มขึ้นเสมอ อีกทั้งผิวบริเวณรอบดวงตายังมีปริมาณไขมันในผิวต่ำ ทำให้ผิวใต้ตาของเราแห้งได้ง่ายเป็นพิเศษ

3.ครีมลดริ้วรอยใต้ตา

สูตรใบบัวบก ให้นำใบบัวบกสด ๆ มาปั่นหรือตำ แล้วกรองเอาเฉพาะน้ำ จากนั้นใช้สำลีชุบน้ำใบบัวบกที่ได้นำมาพอกใต้ตาหรือทาให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก สูตรนี้ให้ทำทุกวันก่อนนอน โดยใบบัวบกจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินได้

สูตรแตงกวา ให้คุณใช้แตงกวาผลโตที่ล้างสะอาดแล้วนำมาหั่นเป็นแว่นบาง ๆ เพียง 2 แว่น นำมาปิดทับลงบนเปลือกตาทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วจึงค่อยนำแตงกวาออก สูตรนี้ให้ทำอย่างน้อยเดือนละ 3 ครั้ง ก็จะช่วยทำให้ผิวรอบดวงตาชุ่มชื้นขึ้นและริ้วรอยรอบดวงตาดูจางลง

4.การรักษาด้วยยาทา โดยจะเป็นการใช้ยาทาในกลุ่มวิตามินซีและวิตามินเอ นำมาทาบริเวณดวงตาเบา ๆ บาง ๆ จากหัวตาไปยังหางตาทั้งเปลือกตาล่างและบน เพื่อช่วยลดเลือนริ้วรอยและชะลอการเกิดริ้วรอยให้ช้าลง ข้อดีของวิธีนี้คือจะมีค่าใช้จ่ายจะไม่สูงมากนัก แต่การรักษาจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่จะเหมาะกับกรณีที่เป็นริ้วรอยตื้น ๆ เท่านั้น ส่วนริ้วรอยลึก ๆ หรือรอยตีนกาจะช่วยได้แค่ชะลอให้เกิดช้าลงเท่านั้น

5. โบท็อกซ์ (Botox) สุดยอดวิธีรักษาริ้วรอยใต้ตาที่เป็นริ้วเล็ก ๆ รวมถึงรอยตีนกาอย่างได้ผลภายใน 1-2 สัปดาห์หลังทำ โดยโบท็อกซ์จะมีคุณสมบัติทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดเกิดการคลายตัวชั่วคราว ทำให้ริ้วรอยจางลงอย่างชัดเจน เหมาะกับคนที่ใช้สารพัดครีมใต้ดวงตามาแล้วแต่ไม่ได้ผล

6.ฉีดฟิลเลอร์ (Filler) สำหรับผู้ที่มีริ้วรอยใต้ตาค่อนข้างเยอะและมีปัญหาร่องใต้ตาไม่ลึกหรือกว้างมากนัก (แอ่งใต้ตา หรือ เบ้าตาลึก) คุณอาจใช้วิธีฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มแอ่งใต้ตาให้ตื้นขึ้นเพื่อช่วยลดรอยเหี่ยวย่นใต้ตา ร่องใต้ตาลึก และทำให้ใต้ตาดูอวบอิ่มสดใสมากขึ้นกว่าเดิมได้ โดยสารที่นำมาฉีดจะเป็นสังเคราะห์ที่ถูกสร้างขึ้นมาให้ใกล้เคียงกับสารที่มีอยู่ในร่างกายอย่างไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid – HA)

7. การฉีดไขมันใต้ตา (Fat Transfer) สำหรับในกรณีที่การฉีดโบท็อกซ์เพียงอย่างเดียวเอาไม่อยู่ คุณอาจเลือกใช้วิธีฉีดไขมันของตัวเองที่มีอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นหน้าท้องหรือต้นขา โดยนำมาฉีดลงไปยังผิวหนังบริเวณใต้ตาเพื่อให้เซลล์ไขมันไปสัมผัสกับเนื้อเยื่อภายในมากที่สุด จึงทำให้ผิวกระชับเต่งตึงและเรียบเนียนเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือผลกระทบหลังการฉีด แต่วิธีนี้จะเหมาะกับคนที่มีริ้วรอยใต้ตาลึกและมีปัญหาร่องใต้ตาลึกและกว้างด้วย และต้องทำโดยแพทย์ที่ชำนาญ ราคาทำต่อครั้งก็ประมาณ 3 หมื่นบาทขึ้นไป

8. เลเซอร์ใต้ตา จะเป็นการใช้เลเซอร์ในกลุ่มช่วยในการซ่อมแซมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน หรือ Laser Resurfacing เช่น CO2 laser, Erbium Laser, YSGG laser ฯลฯ ก็สามารถช่วยทำให้รอยย่นที่ลงลึกค่อย ๆ จางลงได้ จะเห็นผลได้ดีกับริ้วรอยที่ไม่ลึกมากนัก (ถ้าลึกมากแนะนำให้ใช้วิธีอื่นอย่างเช่นการฉีดฟิลเลอร์หรือฉีดไขมันใต้ตา ตามความเหมาะสม) แต่จะเห็นผลค่อนข้างช้าอย่างน้อยประมาณ 2-3 เดือน คนไข้จึงมักไม่สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลง (แต่ถ้ามีการเปรียบเทียบโดยภาพถ่ายอาจจะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงได้ภายในเวลา 2-3 เดือน) ในขณะทำการเลเซอร์จะมีอาการร้อนเล็กน้อย หลังทำเลเซอร์แล้วอาจมีอาการบวมแดง ตึง ๆ อยู่สักประมาณ 15-20 นาที การรักษาด้วยวิธีนี้ค่อนข้างจะมีค่าใช้จ่ายสูงและเห็นผลช้า (ภาพก่อนและหลังการรักษาจำนวน 4 ครั้ง ระยะเวลา 6 สัปดาห์ โดยใช้ fraxel laser)

9. รักษาด้วยคลื่นวิทยุ (Radio Frequency – RF) เป็นเครื่องมือที่ช่วยเสริมการรักษาร่วมกับการรักษาอื่น ๆ เช่น การรักษาด้วยเลเซอร์ โบท็อกซ์ ฯลฯ ซึ่ง RF สามารถช่วยรักษาเรื่องริ้วรอยต่าง ๆ ริ้วรอยเล็ก ๆ ผิวหนังหย่อนไม่กระชับบนใบหน้า รวมถึงริ้วรอยรอบดวงตาได้ โดยเป็นการใช้หลักการทำงานด้วยความร้อนปล่อยคลื่นไฟฟ้าอ่อน ๆ ในรูปของคลื่นความถี่วิทยุ ที่จะไปช่วยเพิ่มอุณหภูมิของผิวหนังในชั้นหนังแท้ซึ่งมีคอลลาเจนอยู่ให้เกิดการกระชับตัว และกระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจนใหม่ในระยะยาว ทำให้ปัญหาริ้วรอยของคุณลดลงได้และอยู่ได้นานเมื่อทำการรักษาตั้งแต่ 4-6 ครั้งขึ้นไป

Comments

คอมเม้นกันหน่อย